วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ขั้นตอนการทำกระสอบทรายตั้งพื้น






ดีกษาอดีต ะ ทำไมพระพุทธศาสนาถึงเสือมจากอินเดียประเทศอินเดียเป็นที่เกิดพระพุทธศาสนา แต่ทว่าในปัจจุบัน ในขณะที่พระพุทธศาสนาได้แผ่ขยายและเจริญรุ่งเรืองในดินแดนต่าง ๆ แต่ในอินเดียเอง พระพุทธศาสนากลับเสือมลง จนในยุคหนึ่งถึงขั้นกล่าวได้ว่าแทบไม่มีชาวพุทธหลงเหลืออยู่เลย ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นน่าจะมาจาก 2 สาเหตุต่อไปนี้คือ1. สาเหตุจากภายในพระพุทธศาสนาเองพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาซึ่งมีพระภิกษุสงฆ์เป็นผู้น่า โดยมีวัดเป็นศูนย์กลาง ในแง่การปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่นิพพาน พระภิกษุสงฆ์คือผู้ที่สละโลกตั้งใจปฏิบัติธรรมขัดเกลากิเลส ถือเป็นแบบอย่างของชาวพุทธโดยทั่วไปและในแง่การเผยแผ่ศาสนา พระภิกษุสงฆ์ก็อยู่ในฐานะของครูผู้สอน โดยสาธุซนทั่วไปเป็นผู้รับฟังคำสอนแล้วน่าไปปฏิบัติ และทำบุญให้การสนับสนุนในการดำรงชีพและการปฏิบัติศาสนกิจของพระภิกษุสงฆ์ในระยะแรก พระภิกษุสงฆ์ที่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มีอยู่เป็นจำนวนมาก และเป็นผู้น่า เป็นแบบอย่างแก่พระภิกษุสงฆ์อื่นในการเผยแผ่พระศาสนา พระภิกษุสงฆ์ส่วนใหญ่ต่างมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ็น เป้าหมายการบวชคือบวชเพื่อมุ่งพระนิพพาน ให้ความสำคัญทั้งการคืกษาพระปริยัติธรรม และการปฏิบัติธรรมควบคู่กันไป ตลอดจนการลังสอนประชาซนให้ปฏิบัติตาม พระพุทธศาสนาจึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็วต่อมาผู้ที่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มีน้อยลง ในหมู่พระภิกษุสงฆ์ก็มีทั้งผู้ที่มีใจรัก มีความเชี่ยวชาญทางด้านพระปริยัติธรรม และผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านธรรมปฏิบัติ แต่เนื่องจากการศึกษาพระปริยัติธรรมเป็นสิงที่สามารถวัดความรูได้ กระสอบทรายfbt  สามารถจัดการศึกษาเป็นระบบและให้วุฒิการศึกษาได้ ในขณะที่ธรรมปฏิบัตินั้น เป็นสิงที่รู้เฉพาะตน เป็นของละเอียด วัดได้ยาก และตราบใดที่ยังไม,บรรลุธรรมถึงขั้นเป็นพระอริยบุคคล ธรรมที่ตนเคยได้เช่น ฌานตาง ๆ นั้นก็ยังเป็นสิงที่เสือมได้ ดังตัวอย่าง ผู้ที่เคยได้ฌานสมาบัติถึงขั้นเหาะได้ เมื่อไม่สำรวมอินทรีย์ ปล่อยให้กามราคะเข้าครอบงำใจ ฌานก็เสือมตกลงสู่พื้นดิน และพระภิกษุสงฆ์ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมปฏิบัติ ยังมักมีใจโน้มเอียงไปในทางแสวงหาความสงบสงัด มักไม่ชอบการคลุกคลีด้วยหมู่เมื่อเป็นเช่นนี หลังจากเวลาผ่านไป พระภิกษุผู้เชี่ยวชาญด้านปริยัติธรรมจึงขึ้นมาเป็นผู้บริหารการปกครองคณะสงฆ์โดยปริยาย และเมื่อผู้บริหารการคณะสงฆ์โดยเป็นผู้เชี่ยวชาญทางปริยัติธรรม ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่การส่งเสริมการภิกษาของสงฆ์ก็จะหนักไปในด้านพระปริยัติธรรมเป็นหลัก เพราะเป็นสิงที่คุ้นเคยและชำนาญ แม้จะเห็นความสำคัญของธรรมปฏิบัติ แต่เมื่อตนไม่คุ้นเคย ไม่มีความชำนาญ การสนับสนุนก็ทำได้ในขอบเขตหนึ่งเท่านั้น พระ-ภิกษุสงฆ์รุ่นใหม่ ๆ จึงมักได้รับการฝึกอบรมในด้านพระปริยัติธรรมเป็นหลักส่วนธรรมปฏิบัติก็ค่อยๆ เสือมลงการภิกษาพระปริยัติธรรมนั้น ในยุคแรกๆ ก็ภิกษาเพื่อเน้นให้เข้าใจในพุทธพจน์ คำสั่งสอนของพระลัมมาลัมพุทธเจ้า เพื่อนำมาใชในการปฏิบัติเป็นหลัก แต่ต่อมาเมื่อภิกษามากเข้าๆ ก็มีพระภิกษุสงฆ์ที่เป็นนักคิด นักทฤษฎีจำนวนหนึ่ง ทนการท้าทายจากนักคิดนักปรัชญาของศาสนาอื่นๆ ไม่ได้เมื่อถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องอภิปรัชญา เช่น โลกนี้โลกหน้าว่ามีจริงหรือไม่ตายแล้วไปไหน จิตมีการรับรู!ต้อย่างไร โลกเป็นอยู่อย่างไร มีจริงหรือไม่ เป็นต้นคำถามเหล่านี้เป็นสั่งที่พระลัมมาลัมพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ เพราะถือว่าไม่เกิดประโยชน์ ทรงอบรมสั่งสอนแต่สั่งที่นำไปสู่การขัดเกลากิเลส มุ่งสู่พระ-นิพพาน และเมื่อถึงจุดนั้นแล้วผู้ปฏิบัติก็ย่อมจะเข้าใจสั่งเหล่านี้ได้เองคนอินเดียเป็นคนช่างคิดและชอบมีการถกเถียงอภิปรายกันในเรื่องต่างๆ ผู้ใดเป็นคนเจ้าเหตุเจ้าผล เจ้าคารมก็มีคนเคารพนับถือมาก พระผู้เชี่ยวชาญทางปริยัติธรรมจำนวนหนึ่งเมื่อถูกท้าทายมากเข้า ก็อดรนทนไม่ไหวเข้าร่วมการถกเถียงนี้ด้วย กระสอบทรายตั้งพื้นหาซื้อได้ที่ไหน พยายามหาเหตุผลทางทฤษฎีการให้เหตุผลทางตรรกศาสตร์มาอธิบายปัญหาเหล่านี้ตามแนวคิดในพระพุทธศาสนา


โฒหลักธรรมในพระพุทธศาสนาซึ่งเมื่อปฏิบัติจนเข้าถึงแล้ว pvc ผู้ปฏิบัติย่อมเห็นตรงกัน เป็นภาวนามยป้ญญา (ความรู้แจ้ง) แต่เมื่อพยายามพิสูจน์ด้วยความคิดทางตรรกศาสตร์ ด้วยจีนตามยปัญญา (ความรู้คิด) ผลก็คือนักทฤษฎีของพระพุทธศาสนาเองก็มีความเห็นไม่ตรงกัน เกิดเป็นแนวคิดของสำนักต่างๆ และแตกตัวเป็นนิกายต่างๆ ในที่สุด มีน้กทฤษฎีในพระพุทธ-ศาสนาที่มีชื่อเสียงเกิดขึ้นจำนวนมาก เช่น นาคารชุน อลังคะ วสุพันธุทิคนาคะ ภาววิเวก ธรรมกีรติ ศานตรักษิตะ เป็นต้นแนวคิดของพระนักทฤษฎีเหล่านี้มีความลึกซึ้งมาก จนแม้นักวิชาการตะวันตกปัจจุบันมาเห็นเข้ายังตื่นตะลึง แต่ผลก็คือ พระพุทธศาสนาได้กลายเป็นศาสนาที่มีคำสอนที่สลับซับซ้อน จนชาวบ้านพิงไม่เข้าใจ ประหนึ่งว่าพระ-พุทธศาสนากลายเป็นศาสนาของพระภิกษุสงฆ์ แตกมีพระภิกษุสงฆ์จำนวนน้อยเท่านั้นที่รู้เรื่อง ชาวพุทธทั่วไปกลายเป็นชาวพุทธแต่ในนาม ไปวัดทำบุญตามเทศกาล ตามประเพณีเท่านั้น ขณะเดียวกันมีพระภิกษุสงฆ์อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจำนวนมากกว่า ได้หันไปปฏิบัติตนตามใจชาวบ้าน ซึ่งมักต้องการพึ่งพาในอำนาจลึกลับ ความตักดื่สิทธิ้ จึงมีการเล่นเครื่องรางของขลัง เวทมนตร์คาถาต่าง ๆ วัตรปฏิบัติก็ย่อหย่อนลง จนถึงจุดหนึ่งเกิดเป็นนิกายตันตระซึ่งเลยเถิดไปถึงขนาดว่าถือว่า การเสพกามเป็นหนทางสู่การตรัสรู้ธรรม การดื่มสุราเป็นสิงดี เป็นต้นพระพุทธศาสนาได้แยกออกเป็น 2  เป้าชกมวยราคา ทางที่สุดโต่งอย่างนี้ คือแบบวิชาการ ทฤษฎีล้วนๆ และแบบเวทมนตร์คาถาดังกล่าว พระพุทธศาสนาในอินเดียจึงถึงกาลเสือมลงในที่สุด2. สาเหตุจากภายนอกในอินเดียนอกจากพระพุทธศาสนาแล้วก็ยังมีศาสนาอื่นๆ อีกมาก ที่มีอิทธิพลมากคือศาสนาพราหมณ์ เมื่อพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองขึ้น คนหันมานับถือมาก ศาสนาพราหมณ์ก็อับแสงลง แต่ผู้นำในศาสนาพราหมณ์ก็พยายามหาทางดึงศาสนิกกลับคืนอยู่ตลอดเวลา พยายามหยิบยกเอาคำสอนในพระพุทธศาสนาหลายอย่างไปเป็นของตัวบ้าง ปรับเปลี่ยนหลายสิงหลายอย่างจนที่สุดแล้วกลายเป็นศาสนาฮินดู  แเทรวินทิเมื่อถึงเวลาที่พระพุทธศาสนาเสือมลงจากภายในแล้ว ก็ได้มีการเปลี่ยนวิธีการจากการโจมตีพระพุทธศาสนามาเป็นการผสมกลมกลืน โดยมีปราชญ์ใหญ่ซื่อ ศังกระ (ประมาณ พ.ศ. 1280) เป็นผู้นำในการปฏิรูปศาสนาฮินดู มีการเลียนแบบวัดในพระพุทธศาสนา สร้างที่พักนักบวชในศาสนาฮินดูเรียกว่า มถะ เป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่ศาสนาฮินดูขึ้นเป็นครั้งแรก ต่อมามีการปฏิรูปอื่นๆ อีกมากมาย ถึงขนาดมีการปรับคำสอนบอกว่าพระ-พุทธเจ้าคือองค์อวตารปางที่ 9 ของพระวิษณุ เพราะฉะนั้นผู้ที่เคารพนับถือพระพุทธเจ้าทุกคนก็คือชาวฮินดูนั่นเอง เมื่อพระพุทธศาสนาเองก็เสือมจากภายใน ชาวพุทธโดยทั่วไปไม่มีความรู้ในพระพุทธศาสนา พอพบกับยุทธวิธีชองศาสนาฮินดูเข้าเซ่นนี้  กระสอบทรายแขวน ชาวพุทธก็ยิ่งสับสน แยกไม่ออกระหว่างพระพุทธ-ศาสนากับศาสนาอื่น ทั้งที่เป็นชาวพุทธก็เคารพนับถือกราบไหว้พระพรหมเทพเจ้าต่างๆ เจ้าพ่อเจ้าแม่ต่างๆ ด้วย พระภิกษุสงฆ์เองบางรูป บางท่านก็เอาใจชาวบ้าน เห็นเขานับถือเทพต่างๆ เจ้าแม่ต่างๆ ก็เอารูปปันของเทพเหล่านั้นมาไว้ในวัด ให้ซาวบ้านกราบไหว้บูชา ผลที่สุดชาวบ้านจึงแยกไม่ออกคิดว่าพระพุทธศาสนากับศาสนาฮินดูก็คืออันเดียวกัน ชาวพุทธแต่เดิมก็กลายเป็นชาวฮินดูไปค่อนตัว และเมื่อเจอเหตุกระทบคือ ตั้งแต่ประมาณพ.ศ. 1600 กองทัพมุสลิมบุกเข้ายึดอินเดีย ไล่มาจากทางตอนเหนือ และประกาศท่าลายพระพุทธศาสนา เผาวัดวาอาราม ฆ่าพระภิกษุสงฆ์ โหดร้ายถึงขนาดมีการให้รางวัลแก่ผู้ที่ตัดคืรษะพระภิกษุสงฆ์มาส่งให้ พระภิกษุสงฆ์จึงต้องสึกบ้าง อพยพหลบหนีกันไปหมด พระพุทธศาสนาซึ่งขณะนั้นมีแต่พระภิกษุสงฆ์จำนวนน้อยที่รู้คำสอนในพระพุทธศาสนา แต่ชาวพุทธทั่วไปไม,รู้คำสอน เมื่อพระภิกษุสงฆ์หมด กระสอบทรายมือสอง พระพุทธศาสนาก็หมดลงจากประเทศอินเดียน่าสนใจว่า ในขณะที่พระพุทธศาสนาหมดไปจากอินเดียอย่างรวดเร็วภายใต้การปกครองของกษัตริย์มุสลิม แต่ศาสนาฮินดูเองกลับสามารถรักษาสถานภาพของการเป็นศาสนาของคนส่วนใหญ่ของอินเดียอยู่ได้ตลอดระยะเวลา651 ปี ภายใต้การปกครองของมุสลิม ทั้งนี้เพราะศาสนาฮินดูได้เน้นให้ศาสนิกปฏิบัติตามคำสอนอย่างเคร่งครัด ศาสนิกจึงมีความผูกพันกับศาสนา300ย ฐาน'วุฑโฒตั้งแต่เกิดจนตาย ทั้งพิธีกรรมในเวลาเกิด การเรียน การเป็นผูใหญ่ การแต่งงานการมีบุตร การจาริกแสวงบุญ การตาย เทศกาลต่างๆ มีข้อกำหนดให้ศาสนิกปฏิบัติในวาระโอกาสต่างๆ อย่างละเอียด ศาสนาจึงไม่ได้ฝากอยู่กับนักบวชเพียงอย่างเดียว แต่เป็นศาสนาของชาวบ้านเป็นเหตุให้ถูกท่าลายได้ยากจากบทเรียนที่ผ่านมาในอินเดียดังกล่าวนี้ เราอาจสรุปได้ว่าความมั่นคงของพระพุทธศาสนา มีปัจจัยสำคัญที่สุดคือ ชาวพุทธต้องเป็นชาวพุทธที่แท้,จริง มีความรู้ความเข้าใจในคำสอนของพระพุทธศาสนา โดยต้องคืกษาทั้งปริยัติและปฏิบัติเพื่อให้เกิดปฏิเวธ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็เช่นกันต้องกระท่าโดยคำนึงถึงเป้าหมายเหล่านี้ พระพุทธศาสนาจึงจะมั่นคงอยู่ได้อย่างแท้จริง

กระสอบทรายตั้งพื้นราคาถูก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น